สื่อต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯเริ่มมีการเจรจาข้อตกลงอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลออสเตรเลียเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลหลักฐานทางอิเล็คทรอนิค โดยนาย William Barr อัยการสูงสุดสหรัฐฯ และนาย Peter Dutton รัฐมลตรีฝ่ายกิจการภาายในของออสเตรเลีย ซึ่งหากข้อตกลงนี้สำเร็จ ทั้งสองประเทศจะสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลออนไลน์ผ่านผู้ให้บริการข้อมูลของทั้งสองฝ่าย
การเจรจานี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลหสรัฐฯได้มีการเซ็นสัญญาข้อตกลงดังกล่าวกับสหราชอาณาจักรไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
และบังคับใช้อย่างเป็นทางการในทั้งสองประเทศ โดยให้บริษัทเทคโนโลยีต่างๆส่งมอบข้อมูลหลักฐานทางอิเล็คทรอนิคตามคำขอเพื่อใช้ในการสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและอื่นๆ โดยร่างกฏหมายดังกล่าวมีชื่อว่า CLOUD Act หรือ Clarifying Lawful Overseas Use of Data ซึ่งถูกผ่านโดยสภาคองเกรซเมื่อปีที่แล้ว เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการต่อสู้กับอาชญากรรมโดยการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นอย่างรวดเร็วๆเพื่อการสืบสวนเป็นไปอย่างรวดเร็ว
William Barr กล่าวว่า “CLOUD Act ถูกสร้างขึ้นเพื่อเปิดให้ประเทศพันธมิตรที่เข้มงวดในเรื่องการปกป้องความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพของผลเรื่อน อย่างออสเตรเลีย ได้เข้าถึงข้อมูลที่จะเป็นจากสหรัฐฯ”
“เวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนข้อมูลอาชญากรรมที่ร้ายแรงอย่างผู้ก่อการร้ายหรือการทารุณกรรมเด็กนั้น มันมีความจะเป็นอย่างมากที่จะต้องทำงานให้รวดเร็ว และ CLOUD Act จะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์อย่างมาก” Peter Dutton กล่าว การบังคับใช้ CLOUD Act จะทำให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลต่างๆไม่ว่าจะเป็น อีเมล์, เอกสารหรือบันทึกการสื่อสาร ข้อตกลงต่างๆที่กระทำและถูกเก็บไว้ในรูปแบบอิเล็คทรอนิค ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนเป็นอย่างมาก
วานนี้ (6 ต.ค.) มีรายงานว่า หนุ่มนักปฏิบัติธรรมรายหนึ่งนั่งสมาธิและเห็นนิมิตเป็นห้องน้ำในปั๊มน้ำมันร้าง และเห็นศพ เมื่อเข้าตรวจสอบพร้อมกับครอบครัวก็พบศพชายรายหนึ่งถูกทิ้งในปั๊มน้ำมันดังกล่าวจริง โดยนักปฏิบัติธรรมรายนี้คือ นายเกียรติศักดิ์ อายุ 30 ปี เล่าว่า ตนนั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน จู่ ๆ จิตได้พามาที่บริเวณห้องน้ำในปั๊มน้ำมันร้างแห่งนี้ ขณะนั้นให้ความรู้สึกมีไอความร้อนและกลิ่นเหม็นไหม้ ก่อนจะเห็นขาโผล่ออกมา แต่ไม่มีเล็บเท้า ตนรู้สึกใจหายและหวิว จึงถอดจิตออกจากสมาธิทันที จากนั้นมาตนก็นอนไม่หลับ อยากจะรู้ว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร เช้าวันต่อมาจึงเล่าให้พ่อแม่ฟัง ก่อนเดินทางไปตรวจสอบที่ปั๊มน้ำมันร้างดังกล่าว และพบศพจริง ๆ เข้า
โดยหลังจากนั้นตนจึงได้แจ้งทางเจ้าหน้าที่ สภ.วังกะพี้ อ.เมืองอุตรดิตถ์ ให้เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นห้องน้ำหญิง บริเวณด้านหลังของปั๊มน้ำมันร้าง ในพื้นที่หมู่ 8 บ้านดงช้างดี ต.หาดกรวด อ.เมือง สภาพเป็นป่ารก ห้องน้ำห้องที่ 4 พบศพชายไทย อายุประมาณ 25-40 ปี นอนเสียชีวิต ลักษณะถูกไฟเผาไหม้เกรียมทั้งตัว ตรวจสอบโดยรอบพบกระป๋องน้ำมันเครื่อง 1 ลิตร ตกอยู่ และรองเท้าแตะสีดำ 1 ข้าง กับโทรศัพท์มือถือที่มีลักษณะชำรุด 1 เครื่อง จากการชันสูตรพลิกศพ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ โดยถูกไฟเผาทั่วร่าง
รวบตัว-จับสึก หลวงพี่หนีคดี แชร์ยูฟัน หลังแอบบวชอยู่สระแก้ว
วานนี้ (7 ต.ค.) ตำรวจบก.ปคม. ได้ร่วมกันจับกุม นายพุฒิพงศ์ รุจิพันธ์โภคิน อายุ 42 ปี หลังหลบหนีคดีฉ้อโกงแชร์ยูฟัน โดยจับกุมได้ที่บริเวณสถานปฎิบัติธรรมพุทธรักษา เลขที่226 หมู่6 ต.เขาสามสิบ อ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว ภายหลังเจ้าตัวหนีมาบวช
กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2558 โดยผู้ต้องหาได้ร่วมกันชักชวนผู้เสียหายเข้าร่วมในเครือข่ายในการประกอบธุรกิจ แชร์ยูฟัน ซึ่งมีน้ำผลไม้-สมุนไพร-เครื่องสำอางผิวหน้า และภายหลังได้หลอกลวงขายหน่วยลงทุนทางอิเล็กทรอนิกส์จำหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ที่เรียกว่ายูโทเคน (U–TOKEN) โดยอ้างว่าได้รับความนิยมและยอมรับในประเทศออสเตรเลีย-มาเลเซีย แต่ต่อมากลับไม่สามารถปันผลค่าตอบแทนให้กับสมาชิกได้
ซึ่งในกรณีของหลวงพี่รายนี้เองก็ถือว่าได้ตกเป็นเป็นผู้เสียหายและเป็นผู้ต้องหาอีกทางหนึ่ง โดยได้รับผลกระทบจากแชร์ยูฟันถึงขั้นหมดตัว ทำให้ต้องหนีมาบวชที่สำนักปฎิบัติธรรมดังกล่าว
แชร์ยูฟันนี้ มีผู้เสียหายเป็นวงกว้าง และมีมูลค่าความเสียหายจำนวนเงินหลายหมื่นล้านบาท โดยมีผู้ร่วมกระทำผิดจำนวน 164 คน และมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งผู้กระทำผิดบางส่วนถูกจับดำเนินคดี และบางส่วนยังอยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุม
โดยตำรวจได้ตั้งข้อหานายพุฒิพงศ์ฐานความผิด ‘ร่วมกันไม่ปฏิบัติตามแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ได้ยื่นไว้กับนายทะเบียน และ ร่วมกันชักชวนบุคคลให้เข้าเครื่อข่ายในธุรกิจขายตรงโดยให้ผลตอบแทนจากการหาสมาชิกและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกระทำความผิดการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ’
ด้านผู้สื่อข่าวถามถึงข้อสังเกตว่า เบื้องหลังการตัดสินใจงดลงคะแนน มีบุคคลอื่น หรือมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ น.ส.วทันยา ยืนยันว่า การงดลงคะแนน ไม่มีเรื่องผลประโยชน์หรือมีบุคคลอื่นอยู่เบื้องหลังแน่นอน
แต่เพราะเธอเห็นความไม่ชัดเจนของผู้ชี้แจงเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งเกี่ยวข้อง กับ ส.ส.กทม. เพราะเป็นพื้นที่ของเราและยังมีคำถามจากชาวบ้านมาตลอด ดังนั้น เมื่อเราเป็นผู้แทน กทม.ถ้าไม่ปกป้องประชาชน ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้อย่างไม่น่าภูมิใจ
แนะนำ : เคล็ดลับต่างๆ | เว็บรวมวิธีต่างๆ How to | จัดอันดับซีรีย์ | รีวิวครีม